สนามมวยลุมพินีถือเป็นอีกหนึ่งสังเวียนที่นักชกมวยไทย มวยเด็ด ทุกคนต้องการจะคว้าแชมป์ ราคามวยลุมพินี เพื่อเป็นใบเปิกทางในอาชีพชกมวยของตัวเอง เพราะเป็นเวทีที่ได้รับการยอมรับว่ามีมาตรฐาน มีนักชกเก่ง ๆ ที่ได้แชมป์จากที่นี่มากมาย รวมทั้งยังมีการถ่ายทอดสดและมีคนดูเข้ามารับชมเป็นจำนวนมาก ราคา มวย ลุ ม พิ นี ส่งผลให้มีโปรโมเตอร์ หรือ ผู้จัดการแข่งขันต่าง ๆ ให้ความสนใจ นักชกที่โชว์แม่ไม้ลูกไม้ได้เป็นที่น่าประทับใจ ก็จะเริ่มเป็นที่รู้จัก
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการชกมวยไทยที่จะมีการวางเดิมพัน พนันขันต่อ ให้ราคาต่อรองมวยทั้ง 2 ฝั่ง ราคา มวย ลุ ม พิ นี จากโต๊ะข้างสนามมวย เพื่อให้นักพนันที่เข้าชมคู่ชกที่สนามแห่งนี้ สามารถวางเดิมพันเลือกคู่ที่ราคาเรตมวยน่าสนใจ เพื่อวางเดิมพันได้ตามความต้องการ เพื่อทำให้อรรถรสของการเข้ามาดูมวยที่ขอบสนามน่าตื่นเต้นขึ้นปอีกระดับ
ราคามวยลุมพินี ใช้วางเดิมพันกันอย่างไร
ราคามวยไทย หรือแม้แต่ ราคา มวย ลุ ม พิ นี จะมีการใช้ภาษามาตรฐานที่นิยมเล่นกัน ในบรรดาคนเล่นมวย หรือที่เราเรียกกันว่า เซียนมวย เพื่อแสดงว่า ราคา ใครต่อรอง โดยการเรียกราคานั้น ยกตัวอย่างเช่น เสมอแดง ( น้ำเงิน ), 10/9, 5/4, 11/8, 3/2, 7/4, 2/1 เป็นต้น ซึ่งเซียนมวยจะสามารถตีความจากราคามวยนี้ได้ ว่าคู่ไหนเป็น มวยเด็ด โดยราคาต่อ/รอง จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างเช่น การออกอาวุธ, ความแข็งแกร่ง, ทรงมวย, หน้าเสื่อ เป็นต้น
ราคา มวย ลุ ม พิ นี มีวิธีการดู สมมติราคา แดงต่อ 10/9 ถ้าเราเล่นฝั่งแดง ในราคา 500 บาท กรณีที่แดงชนะ เราจะได้เงินอยู่ที่ 450 บาท แต่ถ้าเป็นฝั่งน้ำเงินชนะขึ้นมา เราจะเสีย 500 บาท แต่ในทางกลับกันถ้าเราแทงน้ำเงิน แล้วแดงเป็นฝ่ายชนะ เราจะเสียเงิน 450 บาท
ราคามวยโดยทั่วไปที่ข้างสนามมวย ราคา มวย ลุ ม พิ นี จะเรียกกันในลักษณะนี้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นราคาที่เราเลือกแทงได้ทั้งฝ่ายต่อและฝ่ายรอง ใช้เรตมวยเดียวกัน เพียงแค่วิธีการในการจ่ายจะกลับด้านกันเท่านั้นเอง ต่างจากอัตราต่อรองของการเล่นพนันบนเว็บพนันกีฬาออนไลน์ที่จะแสดงในรูปแบบทศนิยม เช่นเดียวกันกับราคาบอล
สิ่งที่มีผลต่อ ราคามวยลุมพินี
โดยการแข่งขันมวยไทย จะตัดสินกันภายในระยะเวลา 5 ยก แต่ละยก มีเวลา 3 นาที โดยการแทงมวย ที่สนามมวยแต่ละแห่งจะทำการออกราคาต่อรองมาให้ เช่น ราคา มวย ลุ ม พิ นี ถือเป็นการพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ที่สามารถจัดให้มีการวางเดิมพันกันได้ คำศัพท์วงการมวยไทย ที่เกี่ยวกับราคามวย ภาษามวยต่าง ๆ
- มวยดึงราคา คือเทคนิคการทำให้ราคามวยไหลเปลี่ยนฝั่ง โดยการที่นักมวยแกล้งทำทีเหมือนสู้ไม่ได้ แกล้งทำเป็นโดนอาวุธเพื่อให้ตัวเองเสียเปรียบก่อน เพื่อให้ราคามวยลุมพินี เปลี่ยนฝั่งไป แล้วค่อยกลับมาสู้แบบจริงจัง และพยายามพลิกกลับมาเอาชนะให้ได้
- หน้าเสื่อ กระแสตัวเงินของขาใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลที่คอยค้ำราคาในเวที ต้องรู้ข่าววงในว่าคู่นี้ขาใหญ่หนุนหลังฝั่งไหน เพราะจะมีผลชักจูงให้กรรมการตัดสินเอนเอียงเข้าข้างฝั่งนั้นได้
- ล้มมวย หมายถึง การแกล้งแพ้ หรือ ชกไม่เต็มที่ เพื่อให้ผลออกมาตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ อาจมีการรับเงินจ้างจากฝ่ายตรงข้าม หรือจากนักพนันมวย หรือเจ้ามือรับแทงมวยต่าง ๆ ซึ่งในวงการมวยไทยก็มีเรื่องแบบนี้ให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ
- เหลี่ยมมวย การชกที่หลอกคู่ต่อสู้ การแก้สถานการเฉพาะหน้า เรียกได้ว่าเหลี่ยมมวยคือความฉลาดในการชกมวยก็ได้ การคุมอารมณ์ คุมจังหวะไม่ให้ตกเป็นเยื่อของฝ่ายตรงข้าม หาจังหวะเข้าเหลี่ยมคู่ต่อสู้ได้ด้วยการชกเปิดทางก่อน แล้วค่อยออกอาวุธหนัก หรือ การเตะตัดขาซ้ำ ๆ ทีเดิมหลายรอบเพื่อให้คู่ต่อสู้ระแวง พอพะวงล่าง ก็มาออกอาวุธใส่หน้า เป็นต้น
- ทรงมวย เป็นลักษณะอาการภาพรวของนักมวยเมื่อขึ้นสังเวียน คล้าย ๆ กับสไตล์การชกว่ามีทรงมวยแบบไหน ทรงมวยดุดัน เข้าประชิดตัวออกอาวุธไม่เกรงกลัว เปิดหน้าแลก หรือ ทรงมวยแบบดูเชิง เป็นทรงมวยฉลาด ชกแบบมีชั้นเชิง ออกอาวุธเฉพาะเมื่อรู้ว่าได้เปรียบ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักพนันต้องคำนึงถึง เมื่อคิดจะวางเดิมพันเลือกข้างว่าจะเล่นมุมน้ำเงินหรือมุมแดง เพราะลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการออกราคามวยลุมพินีว่าจะมีราคาต่อรองเป็นเช่นไร
ราคา มวย ลุ ม พิ นี การแบ่งรุ่นนักชกมวย
สำหรับนักมวยที่ต้องการขึ้นแข่งขันชกมวยไทยนั้น ต้องมีการชั่งน้ำหนักเพื่อจำแนกรุ่น ซึ่งมีผลต่อการกำหนด ราคา มวย ลุ ม พิ นี ในลักษณะว่า นักชกที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณ์ในรุ่นที่จะลงชก จะได้เปรียเรื่องราคาต่อรองจากน้ำหนักตัวที่น้อยกว่า โดยการจำแนกรุ่นนั้นใช้หน่วยน้ำหนักแบบปอนด์ ตามแบบอเมริกา สามารถจำแนกพิกัดได้ 19 รุ่น ดังนี้
- พินเวท น้ำหนักต้องเกิน 93 ปอนด์ และไม่เกิน 100 ปอนด์ หรือระหว่าง 42.272 ถึง 45.454 กิโลกรัม
- มินิฟลายเวท น้ำหนักต้องเกิน 100 ปอนด์ และไม่เกิน 105 ปอนด์ หรือระหว่าง 45.454 ถึง 47.727 กิโลกรัม
- ไลท์ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 105 ปอนด์ และไม่เกิน 108 ปอนด์ หรือระหว่าง 47.727 ถึง 48.988 กิโลกรัม
- ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 108 ปอนด์ และไม่เกิน 112 ปอนด์ หรือระหว่าง 48.988 ถึง 50.802 กิโลกรัม
- ซูเปอร์ฟลายเวท น้ำหนักตัวเกิน 112 ปอนด์ และไม่เกิน 115 ปอนด์ หรือระหว่าง 50.802 ถึง 52.163 กิโลกรัม
- แบนตั้มเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 115 ปอนด์ และไม่เกิน 118 ปอนด์ หรือระหว่าง 52.163 ถึง 53.524 กิโลกรัม
- ซูเปอร์แบนตั้มเวท น้ำหนักเกิน 118 ปอนด์ และไม่เกิน 122 ปอนด์ หรือระหว่าง 53.524 ถึง 55.338 กิโลกรัม
- เฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 122 ปอนด์ และไม่เกิน 126 ปอนด์ หรือระหว่าง 55.338 ถึง 57.153 กิโลกรัม
- ซูเปอร์เฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวเกิน 126 ปอนด์ และไม่เกิน 130 ปอนด์ หรือระหว่าง 57.153 ถึง 58.967 กิโลกรัม
- ไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 130 ปอนด์ และไม่เกิน 135 ปอนด์ หรือระหว่าง 58.967 ถึง 61.235 กิโลกรัม
- ซูเปอร์ไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 135 ปอนด์ และไม่เกิน 140 ปอนด์ หรือระหว่าง 61.235 ถึง 63.503 กิโลกรัม
- เวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 140 ปอนด์ และไม่เกิน 147 ปอนด์ หรือระหว่าง 63.503 ถึง 66.678 กิโลกรัม
- ซูเปอร์เวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวเกิน 147 ปอนด์ และไม่เกิน 154 ปอนด์ หรือระหว่าง 66.678 ถึง 69.853 กิโลกรัม
- มิดเดิลเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 154 ปอนด์ และไม่เกิน 160 ปอนด์ หรือระหว่าง 69.853 ถึง 71.575 กิโลกรัม
- ซูเปอร์มิดเดิลเวท น้ำหนักตัวเกิน 160 ปอนด์ และไม่เกิน 168 ปอนด์ หรือระหว่าง 71.575 ถึง 76.374 กิโลกรัม
- ไลท์เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 168 ปอนด์ และไม่เกิน 175 ปอนด์ หรือระหว่าง 76.374 ถึง 79.379 กิโลกรัม
- ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 175 ปอนด์ และไม่เกิน 190 ปอนด์ หรือระหว่าง 779.379 ถึง 86.183 กิโลกรัม
- เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 190 ปอนด์ และไม่เกิน 200 ปอนด์ หรือระหว่าง 86.183 ถึง 90.900 กิโลกรัม
- ซูเปอร์เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 200 ปอนด์ขึ้นไป หรือ 90.900 กิโลกรัมขึ้นไป
มวยเด็ด นักชกไทยพิกัดไหนมีชื่อ
สำหรับนักมวยไทย มวยเด็ด ที่สร้างชื่อนั้น ผ่านชั่วโมงบิน มีกระดูกมวยแข็งเป๊ก และผ่านเวทีมวยมาตรฐานของประเทศอย่าง ราชดำเนิน และลุมพินี มาแล้วทั้งนั้น ราคามวยลุมพินี พิกัดตัวที่มวยไทยถนัดและสร้างชื่อ มวยเด็ด จะอยู่ที่รุ่นน้ำหนักประมาณ 50 – 66 กิโลกรัม หรือตั้งแต่รุ่นฟลายเวทไปจนถึงเวลเตอร์เวท เนื่องจากสรีระนักมวยชาวไทยไม่ได้สูงใหญ่มาก เราจึงมีนักชกที่จัดว่าเป็น มวยเด็ด อยู่ในพิกัดเหล่านี้ทั้งนั้น
แต่นักชกอาจะสามารถทำน้ำนักตัวเพื่อชกในหลายพิกัดได้ ตามช่วงอายุที่เติบโตขึ้น เนื่องจากนักมวยไทยนั้น เข้าสู่วงการมวยตั้งแต่อายุยังน้อย ชกในรุ่นน้ำหนักตัวต่ำ ผ่านไป 10 ปี อาจจะขยับน้ำหนักตัวขึ้นมาได้ถึง 4 – 5 รุ่น ยกตัวอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ ขึ้นชกในรุ่น เฟเธอร์เวท, ไลท์เวท, เวลเตอร์เวท และ จูเนียร์มิดเดิลเวทในปัจจุบัน
แต่ถึงอย่างนั้นบรรดานักมวยไทยชื่อดัง หากขึ้นต่อยในเมืองไทยในยุคนี้ ค่าตัวก็ไม่เกิน 250,000 บาทต่อนัด จึงทำให้ยอดนักมวยไทยทั้งหลาย เซ็นสัญญาขึ้นสังเวียนต่อยในต่างประเทศกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ไปเป็น มวยเด็ด ให้ต่างชาติชื่นชมทั้ง จีน, มาเก๊า, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งสามารถทำรายได้ได้อย่างมหาศาลให้ทั้งกับบริษัทที่เซ็นสัญญาและตัวนักมวยเอง
สิ่งที่เป็นตัวกำหนด ราคามวยลุมพินี ที่ใช้เป็นอัตราต่อรองการแทงมวยนั้น มีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคามวยหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของกลไกราคาจากผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง และ ประสบการณ์ของนักมวยเอง ซึ่งทำให้เกิดมุมมืดของวงการมวยไทย ที่มีปัญหาล้มมวยกันอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้นักมวยมีฝีมือ มวยเด็ด ชาวไทย หันไปแข่งที่เมืองนอกมากกว่า ซึ่งในปัจจุบันวงการมวยไทยมีความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อทำให้ยังมีนักมวยเก่ง ๆ ยังอยากชกให้คนไทยชื่นชม รวมทั้งมีนักมวยหน้าใหม่ อยากเข้ามาในวงการมากขึ้น เพื่อที่ตำนานมวยไทยจะได้สืบทอดต่อไปได้
บทความที่เกี่ยวข้อง